วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประโยชน์และโทษของอินเตอร์เน็ต

1. ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต (ให้ตอบมาอย่างน้อย 5 ข้อ)

ด้านการศึกษา

1. สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชา หรืออ่านหนังสือออนไลน์

2. ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จะทำหน้าที่เสมือนเป็นห้องสมุดออนไลน์

3. นักศึกษาในมหาวิทยาลัย สามารถใช้อินเตอร์เน็ต ติดต่อกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ ทั้งที่ข้อมูลที่เป็น ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น

4. สามารถทำการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้


ด้านการพาณิชย์

1. ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ

2. สามารถซื้อขายสินค้า ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

3. ทำการตลาดการโฆษณาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

4. ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ และสนับสนุนลูกค้าของตน ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรมทดลองใช้ (Shareware) หรือโปรแกรมแจกฟรี (Freeware) เป็นต้น


ด้านการบันเทิง

1. การพักผ่อนหย่อนใจ เช่น การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่นๆ โดยมีภาพประกอบ

2. การเล่นเกมออนไลน์

3. สามารถฟังวิทยุหรือดูการถ่ายทอดสดผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้

4. สามารถดึงข้อมูล (Download) ภาพยนตร์ตัวอย่างทั้งภาพยนตร์ใหม่ และเก่า มาดูได้


นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในระบบอินเตอร์เน็ตยังมีบริการอื่นๆ อีกมากมาย พอจะสรุปได้ว่า อินเตอร์เน็ต มีความสำคัญ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย การติดต่อสื่อสารที่สะดวก และรวดเร็ว แหล่งรวบรวมข้อมูลแหล่งใหญ่ที่สุดของโลก อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับงานไอที ทำให้เกิดช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว ช่วยในการตัดสินใจ และบริหารงานทั้งระดับบุคคลและองค์กร

ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลก่อให้เกิดประโยชน์มากมายได้แก่

– ด้านการติดต่อสื่อสาร เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือการพูดคุยด้วยการส่งสัญญาณภาพและเสียง

– เป็นระบบสื่อสารพื้นที่จำลอง (Cyberspace) ไม่มีข้อจำกัดทางศาสนา เชื้อชาติ ระบบการปกครอง กฎหมาย

– มีระบบการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

– สามารถค้นหาข้อมูลในด้านต่างๆ ได้ผ่านบริการ World Wide Web

– การบริการทางธุรกิจ เช่น สั่งซื้อสินค้า หรือการโฆษณาสินค้าต่างๆ

– การบริการด้านการบันเทิงต่างๆ เช่น การดูภาพยนตร์ใหม่ๆ การฟังเพลง ในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การเกมออนไลน์ เป็นต้น



โทษของอินเตอร์เน็ต

2. ให้นักเรียนหาประเด็นเกี่ยวโทษของอินเตอร์เน็ตต่อไปนี้

   2.1  โรคติดอินเตอร์เน็ต

           • อาการโรคติดอินเทอร์เน็ต

ลองมาดูกันนะครับว่าอะไรเป็นสิ่งที่บอกว่าลูกหลานหรือตัวเราเองเป็นโรคติดอินเทอร์เน็ตหรือไม่ นักจิตวิทยาชื่อ

คิมเบอร์ลี เอส ยังได้วิเคราะห์ว่า บุคคลใดที่มีอาการดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต

* รู้สึกหมกมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อเข้าระบบอินเทอร์เน็ต

* มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นอยู่เรื่อยๆ

* ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตได้

* รู้สึกหงุดหงิดเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง หรือหยุดใช้

* คิดว่าเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว ทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น

* ใช้เป็นอินเทอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา

* หลอกคนในครอบครัว หรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตของตนเอง

* มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย

• รูปแบบและลักษณะของการติดอินเทอร์เน็ต

มีได้หลากหลายรูปแบบเช่น

1. Cyber Sexual Addiction

การติดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศ เช่นการดูเว็บโป๊

2. Cyber-Relationship Addiction

การคบเพื่อนจากห้องแช๊ตรูม , เว็บบอร์ด นำมาทดแทนเพื่อนหรือครอบครัวในชีวิตจริง

3. Net Compulsion

การติดการพนัน , การประมูล สินค้า , การซื้อ - ขายทางอินเทอร์เน็ต

4. Information Overload

การติดการรับข้อมูลข่าวสาร จนไม่สามารถยั้บยั้งได้

5. Computer Addition

การใช้คอมพิวเตอร์ ในลักษณะที่ไม่สามารถยับยั้งใจได้ เช่น การเล่นเกมส์ออนไลน์

 

• ปัญหามากน้อยแค่ไหน

อุบัติการณ์ของโรคติดอินเทอร์เน็ตขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่าอินเทอร์เน็ตมีอิทธิพลต่ออารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ เปลี่ยนแปลงการรับรู้และระดับความวิตกกังวลของเรา ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยโรคติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งคนกลุ่มนี้ติดอินเทอร์เน็ตภายใน 6 เดือน ถึงร้อยละ 25 ได้รายงานความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากคอมพิวเตอร์ว่าเป็นความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจและเบิกบานใจที่สามารถควบคุมเทคโนโลยีได้ มีการเรียนรู้การใช้โปรแกรมต่างๆอย่างรวดเร็วโดยผ่านประสาทสัมผัสทางตา ความรู้สึกเบิกบานใจตรงกับการที่ผู้ติดอินเทอร์เน็ตมักบรรยายความรู้สึกของตนเองว่า รู้สึกโล่ง จิตใจโปร่ง ความคิดกว้างไกล ภูมิใจในความเฉลียวฉลาดของตัวเองและรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ

ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการติดคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลแมคลีนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดพบว่าผู้ใช้บริการท่องอินเทอร์เน็ตร้อยละ 5-10 มีปัญหาต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตจนขาดไม่ได้ และร้อยละ 6 ของคนที่ใช้ ยอมรับว่าอินเทอร์เน็ตมีผลกระทบต่อชีวิตของตนเอง ด . ร . เดวิด กรีนฟิลด์ แห่งศูนย์พฤติกรรมอินเทอร์เน็ต เชื่อว่าบริการบางอย่างในอินเทอร์เน็ตส่งผลกระทบทางจิตวิทยาทำให้เกิดการบิดเบือนของเวลา สร้างความพึงพอใจ กรีนฟิลด์อ้างว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ การพนัน ซื้อสินค้าออนไลน์ล้วนมีผลกระทบทางอารมณ์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามเขากล่าวว่าหากคนทั่วไปออนไลน์แล้วเกิดปัญหา ไม่ควรเรียกภาวะนี้ว่าเสพติด แต่ควรเรียกว่าภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เช่นภาวะควบคุมตนเองไม่ได้ในการพนันหรือซื้อของ ( compulsive gambling or shopping ) ซึ่งเราอาจเรียกว่าภาวะควบคุมตนเองไม่ได้ในการใช้อินเทอร์เน็ต

คิมเบอร์ลี เอส ยัง นักวิจัยของศูนย์บำบัดโรคติดอินเทอร์เน็ต ผู้สนับสนุนแนวคิดว่าภาวะติดอินเทอร์เน็ตถือว่าเป็นโรค เป็นความผิดปกติกล่าวว่า คนที่ติดอินเทอร์เน็ตต้องทนทุกข์ทรมานจากปัญหาทางจิตใจเช่นภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และมักจะใช้โลกแห่งจินตนาการของอินเทอร์เน็ตเพื่อช่วยให้ตนเองพ้นไปจากความรู้สึกและสถานการณ์ที่เครียด กว่าร้อยละ 60 ของคนที่มารับการบำบัดโรคติดอินเทอร์เน็ตกล่าวว่ากิจกรรมทางเพศออนไลน์ที่เขาเคยทำนั้น ไม่สมควร เช่นหมกมุ่นกับการเปิดดูภาพลามกอนาจาร หรือพูดคุยสนทนาเรื่องทางเพศแบบออนไลน์ นอกจากนี้มากกว่าครึ่งของคนเหล่านี้ยังเสพติดแอลกอฮอล์ ยาเสพติด บุหรี่ อีกด้วย มีผู้เสนอว่าภาวะติดอินเทอร์เน็ตควรระบุว่าเป็นโรคหรือความผิดปกติ เนื่องจากกว่าร้อยละ 86 ของผู้ที่มีอาการโรคติดอินเทอร์เน็ตจะมีความผิดปกติทางจิตเวชร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยในปีค . ศ .2009 พบว่าผู้ที่เสพติดอินเทอร์เน็ต มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมอง

ด . ร . โกลเบิร์ค จิตแพทย์ ได้ให้ความรู้ว่า แม้ว่าโรคติดอินเทอร์เน็ตนั้นไม่ใช่การเสพติดที่แท้จริง แต่เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับพฤติกรรมซ้ำๆที่ไม่สามารถควบคุมได้อื่นๆ ตัวอย่างเช่น การที่คนบางคนใช้เวลาพูดคุยโทรศัพท์กับผู้อื่นนานมาก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ที่ไม่พึงพอใจ ก็อาจเรียกว่าโรคติดโทรศัพท์ ซึ่งก็คล้ายกับคนที่สนทนาทางอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุผลเหมือนกัน อย่างไรก็ตามการที่คนหนึ่งใช้อินเทอร์เน็ตมากเกินไปหรือไม่เหมาะสมอาจเป็นอาการแสดงของความผิดปกติอื่นๆ เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเสพติดการพนัน โรคติดอินเทอร์เน็ตมักถูกเปรียบเทียบกับภาวะกินอาหารมากผิดปกติซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการทำให้ตัวเองดีขึ้นจากภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล มากกว่าจะเป็นเสพติดการกินอาหารจริงๆ

จากการสำรวจในประเทศเกาหลีใต้ พบว่าเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ถึงร้อยละ 30 หรือประมาณ 2.4 ล้านคน มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคติดอินเทอร์เน็ต ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแห่งประเทศจีน เมื่อปีค . ศ .2006 พบว่า ประชาชนกว่า 123 ล้านคนออนไลน์ และร้อยละ 14.9 เป็นวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี มีรายงานจากไต้หวันว่าอุบัติการณ์ของการติดอินเทอร์เน็ตในเด็กมัธยมเท่ากับ ร้อยละ 5.9 และพบว่าร้อยละ 10.6 ของเด็กมัธยมเป็นโรคติดอินเทอร์เน็ต มีรายงานจากผู้พิพากษาของปักกิ่งว่าในปีค . ศ .2005 กว่าร้อยละ 90 ของอาญชากรรมในเด็กวัยรุ่นเกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต องค์กรเอกชนของจีนอ้างว่าในปีค . ศ .2007 กว่าร้อยละ 17 ของประชากรจีนที่อายุระหว่าง 13-17 ปี นั้นเสพติดอินเทอร์เน็ต

 

• วิธีการป้องกันและรักษาจากโรคติดอินเทอร์เน็ต

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าภาวะติดอินเทอร์เน็ตสามารถหายไปเองได้ แต่หลายคนก็จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ ด . ร . อีวาน โกลเบิร์ค จิตแพทย์ ผู้ค้นพบโรคติดอินเทอร์เน็ต ได้ให้คำแนะนำในการป้องกันและช่วยเหลือกับผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นหรือกำลัง จะเป็นโรคนี้ว่า ก่อนอื่นต้องรู้ว่าตัวคุณเองใช้อินเทอร์เน็ตมากเกินไปหรือไม่ ในระดับไหน และรูปแบบลักษณะของการใช้ไปในรูปแบบใดเสียก่อน ร่วมกับวิธีการอื่นๆเช่นการใช้โปรแกรมเพื่อควบคุมเนื้อหาของอินเทอร์เน็ต การให้คำปรึกษา และพฤติกรรมบำบัด

ในประเทศจีนนั้นมีการจัดให้ครอบครัวที่มีลูกวัยรุ่นใช้อินเทอร์เน็ตมากเกินไป ได้มาเข้าแคมป์ฝึกฝนเพื่อช่วยลูกให้ลดการใช้อินเทอร์เน็ตลง ส่วนในสหรัฐอเมริกาก็มีศูนย์บำบัดผู้ใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไปชื่อว่า รีสตาร์ท (ReSTART) ซึ่งจัดหลักสูตร โดยให้ผู้รับการบำบัดพักอาศัยที่ศูนย์นาน 45 วัน และสามารถให้การช่วยเหลือผู้รับการบำบัดได้จำนวนหนึ่ง

 

อินเทอร์เน็ตกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคม เพิ่มความสะดวกสบายมาสู่การดำเนินชีวิตมากขึ้น นอกจากนั้น อินเทอร์เน็ตยังช่วยเปิดโลกทัศน์และสังคมของผู้คนให้กว้างขึ้นด้วย ในทางกลับกัน อินเทอร์เน็ตเพิ่มความสะดวกสบาย สร้างความบันเทิง จนอาจเกิดปัญหาได้ เรามาช่วยกันดูแลและควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตของลูกหลานเราให้เหมาะสมกันเถอะครับ

..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/389620

   2.2   เรื่องอณาจารผิดศีลธรรม

เรื่องอณาจารผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content) 

เรื่องของข้อมูลต่างๆที่มีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้นเป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเทอเน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่ WWW ยังไม่พัฒนา มากนักทำให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นที่โจ่งแจ้งบนอินเทอเน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มที่ เพราะว่าอินเทอเน็ตนั้นเป็นโลกที่ไร้พรมแดนและเปิดกว้างทำให้สื่อเหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเร็วจนเรา ไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้

   2.3   ไวรัส ม้าโทรจัน หนอนอินเตอร์เน็ต และระเบิดเวลา 

   ไวรัสคอมพิวเตอร์(computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยชน์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา โดยที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ

ในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์

ในขณะที่ไวรัสโดยทั่วไปนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย (เช่น ทำลายข้อมูล) แต่ก็มีหลายชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญเท่านั้น ไวรัสบางชนิดนั้นจะมีการตั้งเวลาให้ทำงานเฉพาะตามเงื่อนไข เช่น เมื่อถึงวันที่ที่กำหนด หรือเมื่อทำการขยายตัวได้ถึงระดับหนึ่ง ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะเรียกว่า บอมบ์ (bomb) หรือระเบิด ระเบิดเวลาจะทำงานเมื่อถึงวันที่ที่กำหนด ส่วนระเบิดเงื่อนไขนั้นจะทำงานเมื่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีการกระทำเฉพาะซึ่งเป็นตัวจุดชนวน ไม่ว่าจะเป็นไวรัสชนิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ก็ตาม ก็จะมีผลเสียที่เกิดจากการแพร่ขยายตัวของไวรัสอย่างไร้การควบคุม ซึ่งจะเป็นการบริโภคทรัพยากรคอมพิวเตอร์อย่างไร้ประโยชน์ หรืออาจจะบริโภคไปเป็นจำนวนมาก
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาแผ่นดิสก์หรือแฟลชไดร์ฟที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่ง การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายความว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกใช้ให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะที่ตนเรียกใช้โปรแกรมหรือเปิดไฟล์ใดๆขึ้นมาทำงาน ก็ได้เรียกไวรัสขึ้นมาทำงานด้วย จุดประสงค์การทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ไวรัส (Virus) เป็นมัลแวร์ (Malware) ชนิดแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนี้และอยู่มานาน ดังนั้นโดยทั่วไปตามข่าวหรือบทความต่างๆที่ไม่เน้นไปทางวิชาการมากเกินไป หรือเพื่อความง่ายและคุ้นเคยที่จะพูด ก็จะใช้คำว่า Virus แทนคำว่า Malware แต่ถ้าจะคิดถึงความจริงแล้วมันไม่ถูกต้อง อาจจะเป็นเพราะความเคยชินหรืออะไรก็ตาม จึงกลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่ใช้คำว่า Virus แทนคำว่า Worm, Trojan, Spyware, Adware เป็นต้น ที่ถูกต้องควรใช้คำว่ามัลแวร์ (Malware) เพราะมัลแวร์มีหลายชนิด แต่ละชนิดก็ไม่เหมือนกัน

   2.4  และโทษของอินเตอร์อื่นๆ มาอย่างน้อยอีก 5 ข้อ 

1.อินเตอร์เน็ตเป็นระบบอิสระ ไม่มีเจ้าของ ทำให้การควบคุมกระทำได้ยาก

2.มีข้อมูลที่มีผลเสียเผยแพร่อยู่ปริมาณมาก

3.ไม่มีระบบจัดการข้อมูลที่ดี เสี่ยงต่อการละเมิดลิขสิทธิเช่น เพลง หนัง เติบโตเร็วเกินไป

4.เสี่ยงต่อการโดนจารกรรมข้อมูล การโจมตีจากไวรัส, แฮกเกอร์ และจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ มัลแวร์

5.ข้อมูลบางอย่างอาจไม่จริง ต้องดูให้ดีเสียก่อน อาจถูกหลอกลวง โจมตี โฆษณาชวนเชื่อ กลั่นแกล้งจากเพื่อนใหม่

เช่น การตัดต่อรูปเพื่อการอนาจาร

6.ถ้าเล่นอินเตอร์เน็ตมากเกินไปอาจเสียการเรียนได้

7.ข้อมูลบางอย่างก็ไม่เหมาะกับเด็กๆ

8.ขณะที่ใช้อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์จะใช้งานไม่ได้

ใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อกล่าวหาและโจมตีคู่แข่ง

3. ให้นักเรียนคิดโจทย์ เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตที่เรียนมาตั้งแต่ต้น มีตัวเลือก พร้อมเฉลย อย่างน้อย 10 ข้อ 

1. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่บ้านต้องเชื่อมผ่านอุปกรณ์ใด

ก.  โมเด็ม    ข. เราท์เตอร์   ค. ทีซีพี      ง. โปโตคอล

2. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีกี่รูปแบบ

ก.  2 รูปแบบ     ข. 3 รูปแบบ       ค. 4  รูปแบบ      ง. 5 รูปแบบ

3. การกำหนดรหัสผ่าน  Password  ควรใช้กี่ตัวอักษร

ก.  มากกว่า 3 ตัว         ข. มากกว่า 4 ตัว  ค. มากกว่า 5 ตัว  ง. มากกว่า 6 ตัว

4. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์สำคัญในการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตพื้นฐาน

ก.เครื่องคอมพิวเตอร์     ข.โมเด็ม       ค. โทรศัพท์      ง.เราท์เตอร์ 

5. อินเทอร์เน็ต  หมายถึง

ก. การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย             ข. การเชื่อมต่อกันระหว่างบุคคลกับบุคคล

ค.การเชื่อมต่อกันระหว่างบุคคลกับองค์กร     ง. การเชื่อมต่อกันระหว่างองค์กรกับองค์กร

6.ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ คือข้อใด

ก. Chat       ข. E -mail          ค. Net                 ง.  Web

7. บริการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นซึ่งตั้งอยู่ไกลออกไป สามารถใช้บริการใด

ก. Download      ข. FTP         ค. Telnet            ง. BBS

8. การบริการในลักษณะของกระดานข่าวหรือบูเลตินบอร์ด คือข้อใด

ก. UseNet           ข. Download     ค. IRC            ง.Chat

9. ข้อใดไม่ใช่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

ก. เครื่องคอมพิวเตอร์  ข. โมเด็ม   ค. โทรศัพท์    ง. โทรทัศน์

10.การเชื่อมโยงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตบุคคลสามารถเข้าถึงได้โดยใช้ผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์โดยใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงคือ

ก.  ทีซีพี           ข.โมเด็ม    ค.. เราท์เตอร์      ง. โปโตคอล

 

เฉลย

1.ค      2. ก     3. ง     4. ง     5. ก

6. ข     7. ค     8. ก     9. ง     10.ข


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น